วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทเบิลเทนิสวิกีพีเดีย

เทเบิลเทนนิสเป็นกีฬาโอลิมปิก โดยมีผู้เล่นสองหรือสี่คนตีลูกบอลกระทบหน้าไม้หรือหลังไม้ให้ข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของโต๊ะ ซึ่งมันคล้ายกับกีฬาเทนนิส กฎกติกามีความแตกต่างกันบ้าง แต่มองภาพรวมแล้วเทเบิลเทนนิสกับเทนนิสมีลักษณะคล้ายกัน ในเกมเดี่ยว ไม่จำเป็นต้องตีลูกบอลให้ข้ามไขว้จากฝั่งขวามือของผู้ส่งไปยังฝั่งขวามือของผู้รับ(หรือซ้ายมือผู้ส่ง ไปยังซ้ายมือของผู้รับ)เหมือนกับเทนนิส อย่างไรก็ดี การเสิร์ฟไขว้ในลักษณะนั้นจำเป็นต้องมีในเกมเล่นคู่ ลูกสปิน ลูกเร็ว ลูกหยอด ซึ่งกลยุทธ์และเทคนิคการเล่นก็มีความสำคัญสำหรับเกมแข่งขันที่มีการชิงชัยชนะความเร็วของลูกบอลนั้นเริ่มจากการพุ่งด้วยความเร็วต่ำๆ ไปจนถึงการพุ่งด้วยความเร็วสูง ๆ โดยเฉพาะในลูกสปิน ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ที่ 112.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 69.9 ไมล์ต่อชั่วโมง[2] กีฬาเทเบิลเทนนิสมักใช้เนื้อที่ในการเล่นทางยาวประมาณ 2.74 เมตร ทางกว้างประมาณ 1.525 เมตร และสูงจากพื้นราวเอวประมาณ 0.76 เมตร แต่ทางสมาพันธ์กีฬาเทเบิลเทนนิสสากล กำหนดไว้ว่าต้องมีเนื้อที่เล่นทางยาวไม่น้อยกว่า 14 เมตร ทางกว้าง 7 เมตร และสูงจากพื้นประมาณ 5 เมตร สำหรับเกมการแข่งขัน ไม้ตีปกติแล้วมีแผ่นยางบางติดอยู่หน้าไม้ ยางมีปุ่มเล็กๆอยู่ด้านหนึ่ง เป็นชั้นบาง ๆอยู่ระหว่างตัวไม้ตีกับผิวหน้าฟองน้ำรองหน้าไม้อีกชั้นหนึ่ง ตั้งแต่การเล่นสปินได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในกีฬาเทเบิลเทนนิสของปัจจุบัน ได้มีการปรับคุณภาพของตัวยาง ฟองน้ำ และวิธีการประกอบยางเข้ากับตัวฟองน้ำ เพื่อเพิ่มความเร็วและอัตรการหมุนของลูกจากปกติ ส่วนเทคนิคการปรับเพิ่มคุณภาพอย่างอื่นได้แก่ การใช้คาร์บอนหรือวัสดุสังเคราะห์อื่นเข้ามาประกอบกัน เพื่อทำให้เพิ่มความแม่นยำในการตีลูกให้มากขึ้นลูกบอลที่ใช้ในกีฬาเทเบิลเทนนิสมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40 มม. มักทำมาจากเซลลูลอยด์และมีด้านในกลวง ๆ ตราสามดาวที่ติดอยู่บนลูกบอล หมายถึง คุณภาพที่ดีเยี่ยมของลูกนั้นเองเมื่อเปรียบเทียบกับลูกอื่น ๆ ผู้ชนะ คือ คนที่ทำแต้มได้ 11 คะแนนก่อน และมีการเปลี่ยนเสิร์ฟลูกในทุกๆ 2 แต้ม หากมีผลการแข่งกันเป็น 10-10 ผู้เล่นจะสลับกันเสิร์ฟ(และผู้เล่นชนะ คือคนที่ทำคะแนนได้ 2 แต้มติดต่อกัน) เกม 11 คะแนน เป็นเกมการแข่งขันที่ได้มีขึ้นจากสมาพันธ์กีฬาเทเบิลเทนนิสสากล(ITTF) การเปลี่ยนแปลงนี้ได้มีขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ทุกเกมที่เล่นกันในระดับชาติหรือระดับทัวร์นาเม้นต์สากลมักเป็นเกม 11 คะแนน ส่วนระดับชิงแชมป์เป็นเกม 7 คะแนน และในระดับที่ย่อมลงมาเป็นเกม 5 คะแนน

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส เท่า ที่มีหลักฐานบันทึกพอให้ค้นคว้า ทำให้เราได้ทราบว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสได้เริ่มขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1890 ในครั้งนั้น อุปกรณ์ที่ใช้เล่นประกอบด้วย ไม้ หนังสัตว์ ลักษณะคล้ายกับไม้เทนนิสในปัจจุบันนี้ หากแต่ว่าแทนที่จะขึงด้วยเส้นเอ็นก็ใช้แผ่นหนังสัตว์หุ้มไว้แทน ลูกที่ใช้ตีเป็นลูกเซลลูลอยด์ เวลาตีกระทบถูกพื้นโต๊ะและไม้ก็เกิดเสียง “ปิก-ป๊อก” ดังนั้น กีฬานี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งตามเสียงทีได้ยินว่า “ปิงปอง” (PINGPONG) ต่อมาก็ได้มีการวิวัฒนาการขึ้นโดยไม้หนังสัตว์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นไม้แทน ซึ่งได้เล่นแพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปก่อน วิธี การเล่นในสมัยยุโรปตอนต้นนี้เป็นการเล่นแบบยัน (BLOCKING) และแบบดันกด (PUSHING) ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการเล่นแบบ BLOCKING และ CROP การเล่นถูกตัด ซึ่งวิธีนี้เองเป็นวิธีการเล่นที่ส่วนใหญ่นิยมกันมากในยุโรป และแพร่หลายมากในประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป การจับไม้ก็มีการจับไม้อยู่ 2 ลักษณะ คือ จับไม้แบบจับมือ (SHAKEHAND) ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับแบบยุโรป” และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER) ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับไม้แบบจีน” นั่นเอง ใน ปี ค.ศ. 1900 เริ่มปรากฏว่า มีไม้ปิงปองที่ติดยางเม็ดเข้ามาใช้เล่นกัน ดังนั้นวิธีการเล่นแบบรุกหรือแบบบุกโจมตี (ATTRACK หรือ OFFENSIVE) เริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และยุคนี้จึงเป็นยุคของนายวิตเตอร์ บาร์น่า (VICTOR BARNA) อย่างแท้จริง เป็นชาวฮังการีได้ตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกประเภททีม รวม 7 ครั้ง และประเภทชายเดี่ยว 5 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1929-1935 ยกเว้นปี 1931 ที่ได้ตำแหน่งรองเท่านั้น ในยุคนี้อุปกรณ์การเล่น โดยเฉพาะไม้มีลักษณะคล้าย ๆ กับไม้ในปัจจุบันนี้ วิธีการเล่นก็เช่นเดียวกัน คือมีทั้งการรุก (ATTRACK) และการรับ (DEFENDIVE) ทั้งด้าน FOREHAND และ BACKHAND การ จับไม้ก็คงการจับแบบ SHAKEHAND เป็นหลัก ดังนั้นเมื่อส่วนใหญ่จับไม้แบบยุโรป แนวโน้มการจับไม้แบบ PENHOLDER ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมีน้อยมากในยุโป ในระยะนั้นถือว่ายุโรปเป็นศูนย์รวมของกีฬาปิงปองอย่างแท้จริง ในปี ค.ศ. 1922 ได้มีบริษัทค้าเครื่องกีฬา ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่า “PINGPONG” ด้วยเหตุนี้กีฬานี้จึงเป็นชื่อมาเป็น “TABLE TENNIS” ไม่สามารถใช้ชื่อที่เขาจดทะเบียนได้ประการหนึ่ง และเพื่อไม่ใช่เป็นการโฆษณาสินค้าอีกประการหนึ่ง และแล้วในปี ค.ศ. 1926 จึงได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1926 ภายหลังจากการได้มีการปรึกษาหารือในขั้นต้นโดย DR. GEORG LEHMANN แห่งประเทศเยอรมัน กรุงเบอร์ลิน เดือนมกราคม ค.ศ. 1926 ในปีนี้เองการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1 ก็ได้เริ่มขึ้น พร้อมกับการก่อตั้งสหพันธ์ฯ โดยมีนายอีวอร์ มองตากู เป็นประธานคนแรก ในช่วงปี ค.ศ. 1940 นี้ ยังมีการเล่นและจับไม้พอจำแนกออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้ 1. การจับไม้ เป็นการจับแบบจับมือ 2. ไม้ต้องติดยางเม็ด 3. วิธีการเล่นเป็นวิธีพื้นฐาน คือ การรับเป็นส่วนใหญ่ ยุคนี้ยังจัดได้ว่าเป็น “ยุคของยุโรป” อีกเช่นเคย ในปี ค.ศ. 1950 จึงเริ่มเป็นยุคของญี่ปุ่นซึ่งแท้จริงมีลักษณะพิเศษประจำดังนี้คือ 1. การตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง 2. การใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า ในปี ค.ศ. 1952 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกเป็นครั้งแรก ที่กรุงบอมเบย์ ประเทศอินเดีย และต่อมาปี ค.ศ. 1953 สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์ ประเทศรูมาเนีย จึงนับได้ว่ากีฬาปิงปองเป็นกีฬาระดับโลกที่แท้จริงปีนี้นั่นเอง ในยุคนี้ญี่ปุ่นใช้การจับไม้แบบจับปากกา ใช้วิธีการเล่นแบบรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง โดยอาศัยอุปกรณ์เข้าช่วย เป็นยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำเพิ่มเติมจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วโลก การเล่นรุกของยุโรปใช้ความแม่นยำและช่วงตีวงสวิงสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้บ่า ข้อศอก และข้อมือเท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งใช้ปลายเท้าเป็น ศูนย์กลางของการตีลูกแบบรุกเป็นการเล่นแบบ “รุกอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งวิธีนี้สามารถเอาชนะวิธีการเล่นของยุโรปได้ การเล่นโจมตีแบบนี้เป็นที่เกรงกลัวของชาวยุโรปมาก เปรียบเสมือนการโจมตีแบบ “KAMIKAZE” (การบินโจมตีของฝูงบินหน่วยกล้าตายของญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในญี่ปุ่นกันว่า การเล่นแบบนี้เป็นการเล่นที่เสี่ยงและกล้าเกินไปจนดูแล้วรู้สึกว่าขาดความ รอบคอบอยู่มาก แต่ญี่ปุ่นก็เล่นวิธีนี้ได้ดี โดยอาศัยความสุขุมและ Foot work ที่คล่องแคล่วจนสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศถึง 7 ครั้ง โดยมี 5 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953-1959 สำหรับในยุโรปนั้นยังจับไม้แบบ SHAKEHAND และรับอยู่ จึงกล่าวได้ว่าในช่วงแรก ๆ ของปี ค.ศ. 1960 ยังคงเป็นจุดมืดของนักกีฬายุโรปอยู่นั่นเอง ในปี ค.ศ. 1960 เริ่มเป็นยุคของจีน ซึ่งสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้โดยวิธีการเล่นที่โจมตีแบบรวดเร็ว ผสมผสานกับการป้องกัน ในปี 1961 ได้จัดการแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 26 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน จีนเอาชนะญี่ปุ่น ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นยังใช้นักกีฬาที่อายุมาก ส่วนจีนได้ใช้นักกีฬาที่หนุ่มสามารถเล่นได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าทั้งรุกและ รับ การจับไม้ก็เป็นการจับแบบปากกา โดยจีนชนะทั้งประเภทเดี่ยวและทีม 3 ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้เพราะจีนได้ทุ่มเทกับการศึกษาการเล่นของญี่ปุ่นทั้งภาพยนตร์ที่ได้ บันทึกไว้และเอกสารต่าง ๆ โดยประยุกต์การเล่นของญี่ปุ่น เข้ากับการเล่นแบบสั้น ๆ แบบที่จีนถนัดกลายเป็นวิธีการเล่นที่กลมกลืนของจีนดังที่เราเห็นในปัจจุบัน ยุโรปเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยนำวิธีการเล่นของชาวอินเดียมาปรับปรุง นำโดยนักกีฬาชาวสวีเดนและประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีหัวก้าวหน้าไม่มัวแต่แต่คิดจะรักษาหน้าของตัวเองว่าไม่เรียนแบบของ ชาติอื่นๆ ดังนั้นชายยุโรปจึงเริ่มชนะชายคู่ ในปี 1967 และ 1969 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากสวีเดน ในช่วงนั้นการเล่นแบบรุกยังไม่เป็นที่แพร่หลายทั้งนี้เพราะวิธีการเล่นแบบ รับได้ฝังรากในยุโรป จนมีการพูดกันว่านักกีฬายุโรปจะเรียนแบบการเล่นลูกยาวแบบญี่ปุ่นนั้นคงจะไม่ มีทางสำเร็จแต่การที่นักกีฬาของสวีเดนได้เปลี่ยน วิธีการเล่นแบบญี่ปุ่นได้มีผลสะท้อนต่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนรุ่นหลังของ ยุโรป เป็นอย่างมาก และแล้วในปี 1970 จึงเป็นปีของการประจันหน้าระหว่างผู้เล่นชาวยุโรปและผู้เล่นชาวเอเชีย ช่วงระยะเวลาได้ผ่านไปประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ 1960-1970 นักกีฬาของญี่ปุ่นได้แก่ตัวลงในขณะที่นักกีฬารุ่นใหม่ของยุโรปได้เริ่มฉาย แสงเก่งขึ้น และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศชายเดี่ยวของโลกไปครองได้สำเร็จในการแข่งขัน เทเบิลเทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งโลก ครั้งที่ 31 ณ กรุงนาโกน่า ในปี 1971 โดยนักเทเบิลเทนนิส ชาวสวีเดน ชื่อ สเตลัง เบนค์สัน เป็นผู้เปิดศักราชให้กับชาวยุโรป ภายหลังจากที่นักกีฬาชาวยุโรปได้ตกอับไปถึง 18 ปี ในปี 1973 ทีมสวีเดนก็ได้คว้าแชมป์โลกได้จึงทำให้ชาวยุโรปมีความมั่นใจในวิธีการเล่น ที่ตนได้ลอกเลียนแบบและปรังปรุงมา ดังนั้นนักกีฬาของยุโรปและนักกีฬาของเอเชียจึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญในขณะที่ นักกีฬาในกลุ่มชาติอาหรับและลาตินอเมริกา ก็เริ่มแรงขึ้นก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น เริ่มมีการให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านเทคนิคซึ่งกันและกัน การเล่นแบบตั้งรับซึ่งหมดยุคไปแล้วตั้งแต่ปี 1960 เริ่มจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นมาอีก โดยการใช้ความชำนาญในการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก หน้าไม้ซึ่งติดด้วยยางปิงปอง ซึ่งมีความยาวของเม็ดยางยาวกว่าปกติ การใช้ยาง ANTI – SPIN เพื่อพยายามเปลี่ยนวิถีการหมุนและทิศทางของลูกเข้าช่วย ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้นี้มีส่วนช่วยอย่างมาก ในขณะนี้กีฬาเทเบิลเทนนิสนับว่า เป็นกีฬาที่แพร่หลายไปทั่วโลก มีวิธีการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นเยาวชนต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสต่อไปในอนาคตได้อย่าง ไม่มีที่วันสิ้นสุด และขณะนี้กีฬานี้ก็ได้เป็นกีฬาประเภทหนึ่งในกีฬาโอลิมปิก โดยเริ่มมีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกในปี 1988 ที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีเป็นครั้งแรก
ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส เท่า ที่มีหลักฐานบันทึกพอให้ค้นคว้า ทำให้เราได้ทราบว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสได้เริ่มขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1890 ในครั้งนั้น อุปกรณ์ที่ใช้เล่นประกอบด้วย ไม้ หนังสัตว์ ลักษณะคล้ายกับไม้เทนนิสในปัจจุบันนี้ หากแต่ว่าแทนที่จะขึงด้วยเส้นเอ็นก็ใช้แผ่นหนังสัตว์หุ้มไว้แทน ลูกที่ใช้ตีเป็นลูกเซลลูลอยด์ เวลาตีกระทบถูกพื้นโต๊ะและไม้ก็เกิดเสียง “ปิก-ป๊อก” ดังนั้น กีฬานี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งตามเสียงทีได้ยินว่า “ปิงปอง” (PINGPONG) ต่อมาก็ได้มีการวิวัฒนาการขึ้นโดยไม้หนังสัตว์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นไม้แทน ซึ่งได้เล่นแพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปก่อน วิธี การเล่นในสมัยยุโรปตอนต้นนี้เป็นการเล่นแบบยัน (BLOCKING) และแบบดันกด (PUSHING) ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการเล่นแบบ BLOCKING และ CROP การเล่นถูกตัด ซึ่งวิธีนี้เองเป็นวิธีการเล่นที่ส่วนใหญ่นิยมกันมากในยุโรป และแพร่หลายมากในประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป การจับไม้ก็มีการจับไม้อยู่ 2 ลักษณะ คือ จับไม้แบบจับมือ (SHAKEHAND) ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับแบบยุโรป” และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER) ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับไม้แบบจีน” นั่นเอง ใน ปี ค.ศ. 1900 เริ่มปรากฏว่า มีไม้ปิงปองที่ติดยางเม็ดเข้ามาใช้เล่นกัน ดังนั้นวิธีการเล่นแบบรุกหรือแบบบุกโจมตี (ATTRACK หรือ OFFENSIVE) เริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และยุคนี้จึงเป็นยุคของนายวิตเตอร์ บาร์น่า (VICTOR BARNA) อย่างแท้จริง เป็นชาวฮังการีได้ตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกประเภททีม รวม 7 ครั้ง และประเภทชายเดี่ยว 5 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1929-1935 ยกเว้นปี 1931 ที่ได้ตำแหน่งรองเท่านั้น ในยุคนี้อุปกรณ์การเล่น โดยเฉพาะไม้มีลักษณะคล้าย ๆ กับไม้ในปัจจุบันนี้ วิธีการเล่นก็เช่นเดียวกัน คือมีทั้งการรุก (ATTRACK) และการรับ (DEFENDIVE) ทั้งด้าน FOREHAND และ BACKHAND การ จับไม้ก็คงการจับแบบ SHAKEHAND เป็นหลัก ดังนั้นเมื่อส่วนใหญ่จับไม้แบบยุโรป แนวโน้มการจับไม้แบบ PENHOLDER ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมีน้อยมากในยุโป ในระยะนั้นถือว่ายุโรปเป็นศูนย์รวมของกีฬาปิงปองอย่างแท้จริง ในปี ค.ศ. 1922 ได้มีบริษัทค้าเครื่องกีฬา ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่า “PINGPONG” ด้วยเหตุนี้กีฬานี้จึงเป็นชื่อมาเป็น “TABLE TENNIS” ไม่สามารถใช้ชื่อที่เขาจดทะเบียนได้ประการหนึ่ง และเพื่อไม่ใช่เป็นการโฆษณาสินค้าอีกประการหนึ่ง และแล้วในปี ค.ศ. 1926 จึงได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1926 ภายหลังจากการได้มีการปรึกษาหารือในขั้นต้นโดย DR. GEORG LEHMANN แห่งประเทศเยอรมัน กรุงเบอร์ลิน เดือนมกราคม ค.ศ. 1926 ในปีนี้เองการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1 ก็ได้เริ่มขึ้น พร้อมกับการก่อตั้งสหพันธ์ฯ โดยมีนายอีวอร์ มองตากู เป็นประธานคนแรก ในช่วงปี ค.ศ. 1940 นี้ ยังมีการเล่นและจับไม้พอจำแนกออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้ 1. การจับไม้ เป็นการจับแบบจับมือ 2. ไม้ต้องติดยางเม็ด 3. วิธีการเล่นเป็นวิธีพื้นฐาน คือ การรับเป็นส่วนใหญ่ ยุคนี้ยังจัดได้ว่าเป็น “ยุคของยุโรป” อีกเช่นเคย ในปี ค.ศ. 1950 จึงเริ่มเป็นยุคของญี่ปุ่นซึ่งแท้จริงมีลักษณะพิเศษประจำดังนี้คือ 1. การตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง 2. การใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า ในปี ค.ศ. 1952 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกเป็นครั้งแรก ที่กรุงบอมเบย์ ประเทศอินเดีย และต่อมาปี ค.ศ. 1953 สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์ ประเทศรูมาเนีย จึงนับได้ว่ากีฬาปิงปองเป็นกีฬาระดับโลกที่แท้จริงปีนี้นั่นเอง ในยุคนี้ญี่ปุ่นใช้การจับไม้แบบจับปากกา ใช้วิธีการเล่นแบบรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง โดยอาศัยอุปกรณ์เข้าช่วย เป็นยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำเพิ่มเติมจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วโลก การเล่นรุกของยุโรปใช้ความแม่นยำและช่วงตีวงสวิงสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้บ่า ข้อศอก และข้อมือเท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งใช้ปลายเท้าเป็น ศูนย์กลางของการตีลูกแบบรุกเป็นการเล่นแบบ “รุกอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งวิธีนี้สามารถเอาชนะวิธีการเล่นของยุโรปได้ การเล่นโจมตีแบบนี้เป็นที่เกรงกลัวของชาวยุโรปมาก เปรียบเสมือนการโจมตีแบบ “KAMIKAZE” (การบินโจมตีของฝูงบินหน่วยกล้าตายของญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในญี่ปุ่นกันว่า การเล่นแบบนี้เป็นการเล่นที่เสี่ยงและกล้าเกินไปจนดูแล้วรู้สึกว่าขาดความ รอบคอบอยู่มาก แต่ญี่ปุ่นก็เล่นวิธีนี้ได้ดี โดยอาศัยความสุขุมและ Foot work ที่คล่องแคล่วจนสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศถึง 7 ครั้ง โดยมี 5 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953-1959 สำหรับในยุโรปนั้นยังจับไม้แบบ SHAKEHAND และรับอยู่ จึงกล่าวได้ว่าในช่วงแรก ๆ ของปี ค.ศ. 1960 ยังคงเป็นจุดมืดของนักกีฬายุโรปอยู่นั่นเอง ในปี ค.ศ. 1960 เริ่มเป็นยุคของจีน ซึ่งสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้โดยวิธีการเล่นที่โจมตีแบบรวดเร็ว ผสมผสานกับการป้องกัน ในปี 1961 ได้จัดการแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 26 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน จีนเอาชนะญี่ปุ่น ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นยังใช้นักกีฬาที่อายุมาก ส่วนจีนได้ใช้นักกีฬาที่หนุ่มสามารถเล่นได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าทั้งรุกและ รับ การจับไม้ก็เป็นการจับแบบปากกา โดยจีนชนะทั้งประเภทเดี่ยวและทีม 3 ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้เพราะจีนได้ทุ่มเทกับการศึกษาการเล่นของญี่ปุ่นทั้งภาพยนตร์ที่ได้ บันทึกไว้และเอกสารต่าง ๆ โดยประยุกต์การเล่นของญี่ปุ่น เข้ากับการเล่นแบบสั้น ๆ แบบที่จีนถนัดกลายเป็นวิธีการเล่นที่กลมกลืนของจีนดังที่เราเห็นในปัจจุบัน ยุโรปเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยนำวิธีการเล่นของชาวอินเดียมาปรับปรุง นำโดยนักกีฬาชาวสวีเดนและประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีหัวก้าวหน้าไม่มัวแต่แต่คิดจะรักษาหน้าของตัวเองว่าไม่เรียนแบบของ ชาติอื่นๆ ดังนั้นชายยุโรปจึงเริ่มชนะชายคู่ ในปี 1967 และ 1969 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากสวีเดน ในช่วงนั้นการเล่นแบบรุกยังไม่เป็นที่แพร่หลายทั้งนี้เพราะวิธีการเล่นแบบ รับได้ฝังรากในยุโรป จนมีการพูดกันว่านักกีฬายุโรปจะเรียนแบบการเล่นลูกยาวแบบญี่ปุ่นนั้นคงจะไม่ มีทางสำเร็จแต่การที่นักกีฬาของสวีเดนได้เปลี่ยน วิธีการเล่นแบบญี่ปุ่นได้มีผลสะท้อนต่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนรุ่นหลังของ ยุโรป เป็นอย่างมาก และแล้วในปี 1970 จึงเป็นปีของการประจันหน้าระหว่างผู้เล่นชาวยุโรปและผู้เล่นชาวเอเชีย ช่วงระยะเวลาได้ผ่านไปประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ 1960-1970 นักกีฬาของญี่ปุ่นได้แก่ตัวลงในขณะที่นักกีฬารุ่นใหม่ของยุโรปได้เริ่มฉาย แสงเก่งขึ้น และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศชายเดี่ยวของโลกไปครองได้สำเร็จในการแข่งขัน เทเบิลเทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งโลก ครั้งที่ 31 ณ กรุงนาโกน่า ในปี 1971 โดยนักเทเบิลเทนนิส ชาวสวีเดน ชื่อ สเตลัง เบนค์สัน เป็นผู้เปิดศักราชให้กับชาวยุโรป ภายหลังจากที่นักกีฬาชาวยุโรปได้ตกอับไปถึง 18 ปี ในปี 1973 ทีมสวีเดนก็ได้คว้าแชมป์โลกได้จึงทำให้ชาวยุโรปมีความมั่นใจในวิธีการเล่น ที่ตนได้ลอกเลียนแบบและปรังปรุงมา ดังนั้นนักกีฬาของยุโรปและนักกีฬาของเอเชียจึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญในขณะที่ นักกีฬาในกลุ่มชาติอาหรับและลาตินอเมริกา ก็เริ่มแรงขึ้นก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น เริ่มมีการให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านเทคนิคซึ่งกันและกัน การเล่นแบบตั้งรับซึ่งหมดยุคไปแล้วตั้งแต่ปี 1960 เริ่มจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นมาอีก โดยการใช้ความชำนาญในการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก หน้าไม้ซึ่งติดด้วยยางปิงปอง ซึ่งมีความยาวของเม็ดยางยาวกว่าปกติ การใช้ยาง ANTI – SPIN เพื่อพยายามเปลี่ยนวิถีการหมุนและทิศทางของลูกเข้าช่วย ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้นี้มีส่วนช่วยอย่างมาก ในขณะนี้กีฬาเทเบิลเทนนิสนับว่า เป็นกีฬาที่แพร่หลายไปทั่วโลก มีวิธีการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นเยาวชนต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสต่อไปในอนาคตได้อย่าง ไม่มีที่วันสิ้นสุด และขณะนี้กีฬานี้ก็ได้เป็นกีฬาประเภทหนึ่งในกีฬาโอลิมปิก โดยเริ่มมีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกในปี 1988 ที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีเป็นครั้งแรก

วิธีการแข่งขันเทเบิลเทนนิส

วิธีการแข่งขันเทเบิลเทนนิส ชอบเรื่องนี้การดำเนินการแข่งขัน (MATCH PROCEDURE) 1 ผู้เล่นจะต้องไม่ทำการคัดเลือกลูกเทเบิลเทนนิสในพื้นที่แข่งขัน 1.1 หากมีโอกาส ควรให้ผู้เล่นทำการคัดเลือกลูกเทเบิลเทนนิสที่จะใช้ทำการแข่งขันจำนวน 1 ลูกหรือมากกว่าก่อนที่ผู้เล่นจะลงทำการแข่งขัน และการแข่งขันในแมทช์นั้น ๆ จะต้องแข่งขันด้วยลูกเทเบิลเทนนิสที่ผู้เล่นคัดเลือกมาเท่านั้น โดยผู้ตัดสินเป็นผู้สุ่มขึ้นมา 1.2 หากผู้เล่นไม่ได้คัดเลือกลูกเทเบิลเทนนิสก่อนลงทำการแข่งขัน ให้ผู้ตัดสินผู้สุ่มจากลูกที่มีอยู่เพื่อใช้แข่งขัน 1.3 ระหว่างแมทช์การแข่งขัน หากจะต้องเปลี่ยนลูกเทเบิลเทนนิสที่ใช้แข่งขัน ให้ผู้ตัดสินสุ่มเลือกลูกที่ได้เลือกไว้ก่อนการแข่งขัน หากไม่สามารถทำได้ ให้ผู้ตัดสินสุ่มเลือกลูกที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อแข่งขัน 2 ผู้เล่นจะเปลี่ยนไม้เทเบิลเทนนิสได้ในระหว่างแมทช์ การแข่งขันเมื่อเกิดจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถใช้แข่งขันได้เท่านั้น โดยผู้เล่นสามารถเปลี่ยนไม้อันใหม่ได้ ด้วยไม้ของผู้เล่นที่นำติดตัวเข้ามาในพื้นที่การแข่งขันหรือไม้ที่ถูกส่งให้ กับผู้เล่นในพื้นที่การแข่งขันก็ได้ 3 ผู้เล่นจะต้องวางไม้เทเบิลเทนนิสของเขาบนโต๊ะแข่งขันระหว่างหยุดพักระหว่างเกม 4 ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตให้ฝึกซ้อมบนโต๊ะแข่งขันเป็นเวลาไม่เกิน 2 นาที ก่อนการแข่งขัน สำหรับในช่วงเวลาระหว่างการแข่งขัน จะไม่สามารถทำการฝึกซ้อมได้ ซึ่งการฝึกซ้อมนอกเหนือจากที่กล่าวมาอาจจะขยายออกไปได้โดยการอนุญาตของผู้ ชี้ขาด 5 ระหว่างการยุติการเล่นฉุกเฉิน ผู้ชี้ขาดจะอนุญาตให้ผู้เล่นทำการซ้อมบนโต๊ะแข่งขันนั้น รวมไปถึงโต๊ะแข่งขันอื่น ๆ ได้ 6 ผู้เล่นจะได้รับอนุญาตอย่างมีเหตุผลที่จะตรวจสอบอุปกรณ์ที่เปลี่ยนใหม่อัน เกิดจากการชำรุด เช่น ไม้เทเบิลเทนนิส หรือลูกเทเบิลเทนนิสที่ชำรุด แต่ก็จะไม่มากไปกว่าการฝึกตีโต้ 2-3 ครั้ง ก่อนการเล่นใหม่ 7 การแข่งขันจะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นเวลาหยุดพักที่ได้รับอนุญาต 8 ผู้เล่นสามารถหยุดพักได้ไม่เกิน 1 นาที ในระหว่างจบการแข่งขัน 9 ในระหว่างการแข่งขัน ผู้ตัดสินจะอนุญาตให้หยุดเพื่อทำการเช็ดเหงื่อได้ในช่วงเวลาอันสั้น ๆ เมื่อครบทุก ๆ 6 คะแนนเท่านั้น และเมื่อขณะเปลี่ยนแดนกันในเกมสุดท้าย 10 ผู้เล่นหรือคู่เล่นสามารถขอเวลานอกได้แมทช์ละ 1 ครั้งไม่เกิน 1 นาที 10.1 ประเภทบุคคล ผู้เล่นหรือคู่เล่น หรือผู้ฝึกสอนที่ถูกกำหนดไว้เป็นผู้ขอเวลานอก ประเภททีม ผู้เล่นหรือคู่เล่นหรือหัวหน้าทีมเป็นผู้ขอเวลานอก 10.2 การขอเวลานอก จะขอได้ขณะที่ลูกไม่อยู่ในระหว่างการเล่น โดยผู้ขอใช้มือทำสัญลักษณ์เป็นรูปตัว “ที” 10.3 ผู้ตัดสินจะหยุดการแข่งขัน โดยชูใบขาวเหนือศีรษะแล้ววางไว้บนโต๊ะ ในแดนของผู้เล่นหรือคู่เล่นที่ขอเวลานอก 10.4 ผู้ขอเวลานอก เป็นผู้ใช้สิทธิ์ในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ 10.5 ถ้าผู้เล่นหรือคู่เล่น และผู้ฝึกสอนที่ถูกกำหนดไว้หรือหัวหน้าทีมไม่สามารถตกลงกันได้ในการขอเวลา นอกอำนาจในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายให้ถือดังนี้ ในประเภทบุคคลโดยผู้เล่นหรือคู่เล่น ในประเภททีมโดยหัวหน้าทีม 10.6 ถ้าการขอเวลานอกได้กระทำขึ้นพร้อมกันโดยผู้เล่นหรือคู่เล่นทั้งสองฝ่าย เมื่อครบกำหนดการขอเวลานอก 1 นาที หรือทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะเล่นต่อ การเล่นจะดำเนินต่อไป และผู้เล่นหรือคู่เล่นทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการขอเวลานอกได้อีก ระหว่างการแข่งขันประเภทแมทช์ประเภทบุคคลนั้น ๆ 10.7 ผู้ชี้ขาดอาจจะอนุญาตให้ยุติการเล่นชั่วคราวในช่วงเวลาอันสั้นที่สุด ซึ่งจะไม่เกิน 10 นาที ถ้าผู้เล่นไม่สามารถเล่นได้ เนื่องจากอุบัติเหตุ โดยมีเงื่อนไขว่าในความเห็นของผู้ชี้ขาดการยุติการเล่นชั่วคราวนั้นไม่น่าจะ ทำให้ผู้เล่นหรือคู่เล่นฝ่ายตรงกันข้ามเสียเปรียบเกินควร 10.8 การยุติการเล่นชั่วคราว จะไม่อนุญาตสำหรับความไม่พร้อมของร่างกายที่จะเกิดขึ้นในขณะแข่งขัน หรือคาดว่าจะเกิดก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เช่น ความอ่อนเพลีย ตะคริว หรือความไม่สมบูรณ์ของผู้เล่นเหล่านี้จะไม่อนุญาตให้เป็นการยุติการเล่นฉุก เฉินการยุติการเล่นฉุกเฉินจะยุติในกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น เช่น การบาดเจ็บเนื่องจากหกล้ม 10.9 ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่งในบริเวณพื้นที่แข่งขันมีเลือดออก การเล่นจะยุติและการลงแข่งขันจะไม่ดำเนินต่อจนกว่าบุคคลนั้นจะได้รับปฐม พยาบาล และทำความสะอาดเลือดออกจากพื้นที่การแข่งขันแล้ว 10.10 ผู้เล่นจะต้องอยู่ในพื้นที่การแข่งขันหรือใกล้พื้นที่การแข่งขันตลอดการแข่ง ขันนั้น โดยการหยุดพักระหว่างเกมและการขอเวลานอก ผู้เล่นจะต้องอยู่ในระยะไม่เกิน 3 เมตร ของพื้นที่การแข่งขันภายใต้การควบคุมของผู้ตัดสิน การออกนอกระยะดังกล่าวสามารถทำได้โดยต้องได้รับอนุญาตจากผู้ชี้ขาด ลำดับการเล่น (THE ORDER OF PLAY) 1.1 ประเภทเดี่ยว ฝ่ายส่งได้ส่งอย่างถูกต้อง ฝ่ายรับจะตีโต้กลับไปอย่างถูกต้องหลังจากนั้นฝ่ายส่งและฝ่ายรับจะผลัดกันตี โต้ 1.2 ประเภทคู่ ผู้ส่งลูกของฝ่ายส่งจะส่งลูกไปยังฝ่ายรับ ผู้รับของฝ่ายรับจะต้องตีลูกกลับ แล้วคู่ของฝ่ายส่งจะตีลูกลับไป จากนั้นคู่ของฝ่ายรับจะตีลูกกลับไปเช่นนี้สลับกันไปในการตีโต้ 2 ลูกที่ให้ส่งใหม่ (A LET) 2.1 การส่งซึ่งถือให้เป็นการส่งใหม่ ต้องมีลักษณะดังนี้ 2.1.1 ถ้าลูกที่ฝ่ายส่งได้ส่งไปกระทบส่วนต่าง ๆ ของตาข่าย แล้วข้ามไปในแดนของฝ่ายรับโดยถูกต้องหรือส่งไปกระทบส่วนต่าง ๆ ของตาข่าย แล้วผู้รับหรือคู่ฝ่ายรับขวางลูก หรือตีลูกก่อนที่ลูกจะตกกระทบแดนของเขาในเส้นสกัด 2.1.2 ในความเห็นของผู้ตัดสิน ถ้าลูกที่ส่งออกไปแล้วฝ่ายรับหรือคู่ฝ่ายรับยังไม่พร้อมที่จะรับ โดยมีข้อแม้ว่า ฝ่ายรับหรือคู่ของฝ่ายรับไม่พยายามจะตีลูก 2.1.3 ในความเห็นของผู้ตัดสิน หากมีเหตุรบกวนนอกเหนือการควบคุมของผู้เล่นทำให้การส่ง การรับ หรือการเล่นนั้นเสียไป 2.1.4 ถ้าการเล่นถูกยุติโดยผู้ตัดสินหรือผู้ช่วยตัดสิน 2.2 การเล่นอาจถูกยุติลงในกรณีต่อไปนี้ 2.2.1 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ในลำดับการส่ง การรับลูกหรือการเปลี่ยนแดน 2.2.2 เมื่อการแข่งขันได้ถูกกำหนดให้ใช้ระบบการแข่งขันระบบการแข่งขันแบบเร่งเวลา 2.2.3 เพื่อเตือนหรือลงโทษผู้เล่น 2.2.4 ในความคิดเห็นของผู้ตัดสิน หากเห็นว่าสภาพการเล่นถูกรบกวนอันจะเป็นผลต่อการเล่น 3. ได้คะแนน (A POINT) นอกจากการตีโต้จะถูกสั่งให้เป็นเน็ท ผู้เล่นจะได้รับคะแนนจากกรณีดังต่อไปนี้ 3.1 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่สามารถส่งลูกได้อย่างถูกต้อง 3.2 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่สามารถรับลูกได้อย่างถูกต้อง 3.3 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ตีลูกสัมผัสถูกสิ่งใด ๆ นอกเหนือจากส่วนประกอบของตาข่าย 3.4 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ตีลูกผ่านเลยเส้นสกัดของเขาโดยไม่ได้สัมผัสกับพื้นผิวโต๊ะ 3.5 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ขวางลูก 3.6 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ตีลูกติดต่อกันสองครั้ง 3.7 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ตีลูกด้วยหน้าที่ไม่ถูกต้องตามกติกา 3.8 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม หรือสิ่งใด ๆ ที่ผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้ามสวมใส่หรือถืออยู่ ทำให้พื้นผิวโต๊ะเคลื่อนที่ 3.9 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม หรือสิ่งใด ๆ ที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามสวมใส่หรือถืออยู่ สัมผัสถูกส่วนต่าง ๆ ของตาข่าย 3.10 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ใช้มืออิสระสัมผัสถูกผิวโต๊ะ 3.11 ถ้าผู้เล่นฝ่ายตรงกันข้าม ตีลูกผิดลำดับในการเล่นประเภทคู่ยกเว้นลำดับโดยคนเสิร์ฟ หรือคนเสิร์ฟ 3.12 ในระบบการแข่งขันแบบเร่งเวลา ถ้าเขาหรือคู่ของเขาสามารถตีโต้กลับไปได้อย่างถูกต้องครบ 13 ครั้ง

กติกาเทเบิลเทนนิส

กติกาเทเบิลเทนนิส โต๊ะ 1. พื้นหน้าด้านบนของโต๊ะเรียกว่า พื้นผิวโต๊ะ จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาว 2.74 เมตร ความกว้าง 1.525 เมตร และจะต้องสูงได้ระดับโดยวัดจากพื้นที่ตั้งขึ้นมาถึงพื้นผิวโต๊ะสูง 76 เซนติเมตร 2. พื้นผิวโต๊ะให้รวมถึงขอบบนสุดของโต๊ะ แต่ไม่รวมถึงด้านข้างของโต๊ะที่อยู่ต่ำกว่าขอบบนสุดของโต๊ะลงมา 3. พื้นผิวโต๊ะอาจทำด้วยวัสดุใด ๆ ก็ได้ แต่จะต้องมีความกระดอนสม่ำเสมอ เมื่อเอาลูกเทเบิลเทนนิสมาตรฐานทิ้งลงในระยะสูง 30 เซนติเมตร โดยวัดจากพื้นผิวโต๊ะลูกจะกระดอนขึ้นมาประมาณ 23 เซนติเมตร 4. พื้นผิวโต๊ะจะต้องเป็นสีเข้มและเป็นสีด้านไม่สะท้อนแสง ขอบด้านบนของพื้นผิวโต๊ะทั้ง 4 ด้าน จะทาด้วยเส้นสีขาว มีขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านยาว 2.74 เมตร ทั้งสองข้างเรียกว่า เส้นข้าง เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านกว้าง 1.525 เมตร ทั้งสองข้างเรียกว่า เส้นสกัด 5. พื้นผิวโต๊ะจะถูกแบ่งออกเป็นสองแดนเท่า ๆ กันด้วยตาข่ายซึ่งขึงตั้งฉากกับพื้นผิวโต๊ะ และขนานกับเส้นสกัดโดยตลอด 6. สำหรับประเภทคู่ ในแต่ละแดนจะถูกแบ่งเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ด้วยเส้นสีขาวมีขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร โดยขีดขนานกับเส้นข้างเรียกว่า เส้นกลาง และให้ถือว่าเส้นกลางนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอร์ดด้านขวาของโต๊ะด้วย 7. ในการแข่งขันระดับนานาชาติ โต๊ะเทเบิลเทนนิสที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (ITTF) เท่านั้น และจะต้องระบุสีของโต๊ะที่จะใช้แข่งขันลงในระเบียบการแข่งขันด้วยทุกครั้ง ส่วนประกอบของตาข่าย 1. ส่วนประกอบของตาข่ายจะประกอบไปด้วย ตาข่าย ที่แขวน และ เสาตั้ง รวมไปถึงที่จับยึดกับโต๊ะเทเบิลเทนนิส 2. ตาข่ายจะต้องขึงตึงและยึดด้วยเชือกซึ่งผู้ติดปลายยอดเสา ซึ่งตั้งตรงสูงจากพื้นผิวโต๊ะ 15.25 เซนติเมตร และยื่นออกไปจากเส้นข้างของโต๊ะถึงตัวเสาด้านละ 15.25 เซนติเมตร 3. ส่วนบนสหุดของตาข่ายตลอดแนวยาว จะต้องสูงจากพื้นผิวโต๊ะ 15.25 เซนติเมตร 4. ส่วนล่างสุดของตาข่ายตลอดแนวยาวจะต้องอยู่ชิดกับพื้นผิวโต๊ะและส่วนปลายสุดของตาข่ายทั้งสองด้านจะต้องอยู่ชิดกับเสาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 5. ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ตาข่ายที่ใช้สำหรับแข่งขันตะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น ลูกเทเบิลเทนนิส 1. ลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องกลม และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 38 มิลลิเมตร 2. ลูกเทเบิลเทนนิสจะมีน้ำหนัก 2.5 กรัม 3. ลูกเทบิลเทนนิสจหะต้องทำด้วยเซลลูลอยด์ หรือวัสดุพลาสติกอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน โดยให้มีสีขาว สีเหลือง สีส้ม และเป็นสีด้าน 4. ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ลูกเทเบิลเทนนิสที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสเท่านั้น และจะต้องระบุสีของลูกที่ใช้แข่งขันลงในระเบียบการแข่งขันทุกครั้ง ไม้เทเบิลเทนนิส 1. ไม้เทเบิลเทนนิสจะมีรูปร่าง ขนาด หรือน้ำหนักอย่างไรก็ได้ แต่หน้าไม้จะต้องแบน เรียบ และแข็ง 2. อย่างน้อยที่สุด 85% ของความหนาของไม้ จะต้องทำด้วยไม้ธรรมชาติ ชั้นที่อัดอยู่ติดภายในหน้าไม้ซึ่งทำด้วยวัสดุไฟเบอร์ เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ กลาซไฟเบอร์ หรือกระดานอัด จะต้องมีความหนาไม่เกิน 7.5 ของควาหมนาทั้งหมดของไม้ หรือไม่เกิน 0.35 มิลลิเมตร สุดแท้แต่กรณีใดจะมีค่าน้อยกว่า 3. หน้าไม้เทเบิลเทนนิสด้านที่ใช้ในการตีลูกจะต้องมีวัสดุปิดทับ วัสดุนี้จะเป็นยางเม็ดธรรมดาแผ่นเดียวกัน โดยหันเอาเม็ดออกมาด้านนอก และไม่มีฟองน้ำรองรับ แผ่นยางชนิดนี้เมื่อปิดทับหน้าไม้และรวมกับกาวแล้ว จะต้องมีความหนาทั้งสิ้นไม่เกิน 2 มิลลิเมตร หรือแผ่นยางแผ่นเดียวกันชนิดมีฟองน้ำรองรับโดยจะหันเอาเม็ดยางอยู่ในหรือเอาเม็ดยางอยู่ด้านนอกก็ได้ แผ่นยางชนิดนี้เมื่อปิดทับหน้าไม้และรวมกับกาวแล้ว จะต้องมีความหนาทั้งสิ้นไม่เกิน 4 มิลลิเมตร 3.1 แผ่นยางเม็ดธรรมดาจะต้องเป็นชิ้นเดียวและไม่มีฟองน้ำรองรับ จะทำด้วยยางหรือยางสังเคราะห์มีเม็ดยางกระจายอยู่สม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 10 เม็ด ต่อ 1 ตารางเซ้นติเมตร และไม่มากกว่า 50 เม็ดต่อ 1 ตารางเซนติเมตร 3.2 แผ่นยางชนิดมีฟองน้ำ ประกอบด้วยฟองน้ำชนิดเดียวปิดคลุมด้วยแผ่นยางธรรมดาชิ้นเดียว ซึ่งความหนาของแผ่นยางธรรมดานี้จะต้องมีความหนาไม่เกิน 2 มิลลิเมตร 4. วัสดุปิดทับหน้าไม้จะต้องปิดทับคลุมตลอดหน้าไม้ด้านนั้น ๆ และจะต้องไม่เกิดขอบของหน้าไม้ออกไป ยกเว้นส่วนที่ใกล้กับด้ามจับที่สุด และที่วางนิ้วอาจจะหุ้มหรือไม่หุ้มด้วยวัสดุใด ๆ ก็ได้ ซึ่งอาจจะถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของด้ามจับ 5. หน้าไม้เทเบิลเทนนิสชั้นภายในหน้าไม้ ชั้นของวัสดุปิดทับต่าง ๆ หรือกาวจะต้องสม่ำเสมอและมีความหนาเท่ากันโดยตลอด 6. หน้าไมเทเบิลเทนนิสจะต้องเป็นสีแดงสว่าง และอีกด้านหนึ่งจะต้องเป็นสีดำ โดยไม่คำนึงว่าหน้าไม้ด้านนั้นจะใช้ตีลูกเทเบิลเทนนิสหรือไม่ และจะต้องมีสีกลมกลืนอย่างสม่ำเสมอ ไม่สะท้อนแสง ตามขอบของไม้เทเบิลเทนนิส จะต้องไม่สะท้อนแสงหรือมีส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นสีขาว 7. วัสถุที่ปิดทับหน้าไม้สำหรับตีลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องมีเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้ผลิตยี่ห้อ รุ่น และเครื่องหมาย ITTF แสดงไว้อย่างชัดเจนใกล้กับขอบหน้าไม้ โดยจะต้องเป็นชื่อ ยี่ห้อ และชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติครั้งหลังสุดเท่านั้น 8. สำหรับกาวที่มีส่วนประกอบที่เป็นพิษจะไม่อนุญาตให้ใช้ทาลงบนหน้าไม้เทเบิลเทนนิส และตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ผู้เล่นจะต้องใช้กาวแผ่นสำเร็จรูป หรือกาวที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น 9. การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของความสม่ำเสมอของผิวหน้าไม้ วัสดุปิดทับ หรือความไม่สม่ำเสมอของสีหรือขนาด เนื่องจากการเสียหาจากอุบัติเหตุ การใช้งาน หรือสีจาง อาจจะอนุญาตให้ใช้ได้โดยมีเงื่อนไขว่าเหตุเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อคุณลักษณะของผิวหน้าไม้หรือผิววัสดุปิดทับ 10. เมื่อเริ่มการแข่งขัน และเมื่อใดที่ผู้เล่นเปลี่ยนไม้เทเบิลเทนนิสระหว่างการแข่งขัน ผู้เล่นตะต้องแสดงไม้เทเบิลเทนนินที่เขาเปลี่ยนให้กับคู่แข่งขันและกรรมการผู้ตัดสินตรวจสอบก่อนทุกครั้ง 11. ผู้เล่นจะต้องวางไม้เทเบิลเทนนิสของเขาบนโต๊ะแข่งขันระหว่างการหยุดพักในการเล่น 12. เป็นความรับผิดชอบของผู้เล่น ที่จะต้องมั่นใจว่าไม้เทเบิลเทนนิสที่ใช้อยู่นั้นถูกต้องตามระเบียบและกติกา 13. ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเล่นให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ชี้ขาด คำจำกัดความ 1. ระยะเวลาที่ลูกอยู่ในการเล่น เรียกว่า การตีโต้ 2. การตีโต้ที่ไม่มีผลได้คะแนน เรียกว่า ส่งใหม่ 3. การตีโต้ที่มีผลได้คะแนน เรียกว่า ได้คะแนน 4. มือในขณะที่ถือไม้เทเบิลเทนนิส เรียกว่า แร็กเกต แฮนด์ (Racket hand) 5. มือในขณะที่ไม่ได้ถือไม้เทเบิลเทนนิส เรียกว่า มืออิสระ 6. ถ้าผู้เล่นสัมผัสลูกด้วยไม้เทเบิลเทนนิสขณะที่ถือ หรือสัมผัสมือขณะที่ถือไม้ตั้งแต่ข้อมือลงไป เรียกว่า การตีลูก 7. ถ้าผู้เล่นหรือสิ่งใด ๆ ที่เขาสวมใส่หรือถืออยู่ สัมผัสถูกลูกในขณะที่ลูกกำลังอยู่ในการเล่น โดยที่ลูกนั้นยังไม่ได้กระทบแดนของเขาหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามตีลูกมาหใ และลูกนั้นยังไม่ผ่านพื้นผิวโต๊ะ หรือลหูกนั้นยังไม่พ้นเส้นสกัด เรียกว่า ขวางลูก (Obstructs) 8. ผู้ตีลูกเทเบิลเทนนิสครั้งแรกในการตีโต้ เรียกว่า ผู้ส่ง 9. ผู้ที่ตีลูกเทเบิลเทนนิสครั้งทื่ 2 ในการตีโต้ เรียกว่า ผู้รับ 10. ผู้ตัดสิน คือ บุคคลที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อควบคุมเกมการแข่งขัน 11. สิ่งใด ๆ ที่ผู้เล่นสวมใส่หรือถือ หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามที่ผู้เล่นสวมใส่ หรือที่กำลังถืออยู่ในขณะที่เริ่มต้นตีโต้ 12. ลูกเทเบิลเทนนิสจะถูกพิจารณาว่าผ่านหรืออ้อมตาข่าย ถ้าลูกผ่านตาข่าย ผ่านใต้เสาตาข่าย หรือผ่านด้านนอกเสาตาข่ายที่ยื่นออกไป หรือในกรณีที่ตีลูกแล้วกระดอนถอยหลังข้ามตาข่ายกลับมาด้วยแรงหมุนของมันเอง 13. เส้นสกัด ให้รวมไปถึงเส้นสกัดสมมติที่ต่อออกไปในแนวเดียวกันด้วย การส่งลูก 1. เมื่อเริ่มส่งลูก ลูกเทเบิลเทนนิสต้องวางเป็นอิสระอยู่บนฝ่ามือของมืออิสระ โดยแบฝ่ามือออกและลูกต้องหยุดนิ่ง โดยลูกนั้นต้องอยู่หลังเส้นสกัดและอยู่เหนือระดับพื้นผิวโต๊ะ 2. ในการส่งลูก ผู้ส่งจะต้องโยนลูกขึ้นไปข้างบนด้วยมือให้ใกล้เคียงกับเส้นตั้งฉากมากที่สุด และให้สูงจากจุดที่ลูกออกจากฝ่ามือไม่น้อยกว่า 16 เซนติเมตร โดยลูกที่โยนขึ้นไปนั้นจะต้องไม่เป็นลูกที่ถูกทำให้หมุนด้วยความตั้งใจ 3. ผู้ส่งจะตีลูกได้ในขณะที่ลูกเทเบิลเทนนิสได้ลดระดับจากจุดสูงสุดลงแล้ว เพื่อให้ลูกกระทบแดนของผู้ส่งก่อนแล้วข้ามหรืออ้อมตาข่ายไปกระทบแดนของฝ่ายรับ สำหรับประเภทคู่ ลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องกระทบครึ่งแดนขวาของผู้ส่งก่อนแล้วข้ามหรืออ้อมตาข่ายไปกระทบครึ่งแดนขวาของฝ่ายรับ 4. ทั้งลูกเทเบิลเทนนิสและไม้เทเบิลเทนนิสจะต้องอยู่เหนือพื้นผิวโต๊ะตลอดเวลาที่เริ่มทำการส่งลูกจนกระทั่งไม่ได้กระทบลูกไปแล้ว 5. ในการส่งลูก ขณะที่ลูกกระทบหน้าไม้ จะต้องอยู่เหนือ เส้นสกัดทางด้านผู้ส่ง หรืออาณาเขตสมมติที่ต่อออกไปจากเส้นสกัด และต้องไม่เลยส่วนที่ไกลที่สุดของลำตัวออกไปทางด้านหลัง ยกเว้น แขน ศีรษะ หรือขา 6. เป็นความรับผิดชอบของผู้เล่นที่จะต้องส่งลูกให้ผู้ตัดสินหรือผู้ช่วยผู้ตัดสินเห็น และตรวจสอบถึงการส่งลูกนั้นว่าถูกต้องตามกติกาหรือไม่ 6.1 ถ้าผู้ตัดสินสงสัยในลักษณะการส่งลูก แต่ทั้งเขาและผู้ช่วยผู้ตัดสินไม่มั่นใจว่าผู้ส่งได้ส่งลูกถูกต้องตามกติกาในโอกาสแรกของแมตช์นั้น จะทำการเตือนผู้ส่งโดยยังไม่ได้ตัดคะแนน 6.2 สำหรับในครั้งต่อไปในแมตช์เดียวกันนั้น หากผู้ส่งเดิมยังคงส่งลูกที่เป็นข้อสงสัยในทำนองเดียวกัน หรือลักษณะน่าสงสัยอื่น ๆ อีก ผู้ส่งจะเสียคะแนนทันทีโดยไม่มีการเตือน 6.3 หากผู้ส่งได้ส่งลูกผิดกติกาอย่างชัดเจน ผู้ส่งจะเสียคะแนนทันทีโดยไม่มีการเตือน 7. ผู้ส่งลูกอาจได้รับการอนุโลมได้บ้าง หากผู้ส่งคนนั้นได้แจ้งให้ผู้ตัดสินทราบถึงการหย่อนสมรรถภาพทางกาย จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถส่งลูกได้ถูกต้องตามกติกา ทั้งนี้ต้องแจ้งให้ผู้ตัดสินทราบก่อนการแข่งขันทุกครั้ง การรับที่ถูกต้อง 1. เมื่อลูกเทเบิลเทนนิสได้ถูกส่งหรือตีโต้ไปตกลงในแดนฝ่ายตรงข้ามถูกต้องแล้ว ฝ่ายรับตีลูกข้ามหรืออ้อมตาข่ายกลับไปเพื่อให้ลูกกระทบอีกแดนหนึ่งโดยตรง หรือสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของเน็ตแล้วตกลงในแดนฝ่ายตรงข้าม ลำดับการเล่น 1. ประเภทเดี่ยว ฝ่ายส่งได้ส่งลูกอย่างถูกต้อง ฝ่ายรับจะตีโต้กลับไปหลังจากนั้นฝ่ายส่งและฝ่ายรับจะผลัดกันตีโต้ 2. ประเภทคู่ ผู้ส่งลูกของฝ่ายส่งจะส่งลูกไปยังฝ่ายรับ ผู้รับของฝ่ายรับจะต้องตีลูกกลับแล้วคู่ของฝ่ายส่งจะตีลูกกลับไป จากนั้นคู่ของฝ่ายรับก็จะตีลูกกลับไปเช่นนี้สลับกันในการโต้ลูก ลูกซึ่งอยู่ในการเล่น 1. ลูกซึ่งอยู่ในการเล่นนับตั้งแต่ลูกได้หยุดนิ่งก่อนที่จะทำการส่งลูกจนกระทั่ง 1.1 ลูกได้สัมผัสกับสิ่งอื่น ๆ นอกจากพื้นผิวโต๊ะ ส่วนต่าง ๆ ของเน็ต ไม้เทเบิลเทนนิสขณะที่ถืออยู่ หรือมือที่ถือไม้เทเบิลเทนนิสตั้งแต่ข้อมือลงไป 1.2 การตีโต้ซึ่งถูกสั่งให้เป็นลูกที่ให้ส่งใหม่ หรือได้คะแนน ลูกที่ให้ส่งใหม่ 1. การตีโต้ซึ่งถือให้เป็นการส่งใหม่ ต้องมีลักษณะดังนี้ 1.1 ถ้าลูกที่ฝ่ายส่งได้ส่งไปกระทบส่งนต่าง ๆ ของตาข่าย แล้วข้ามไปในแดนของฝ่ายรับโดยถูกต้อง หรือส่งไปกระทบส่วนต่าง ๆ ของเน็ตแล้ว ฝ่ายรับหรือคู่ฝ่ายรับขวางลูกหรือตีลูกก่อนที่ลูกจะตกกระทบแดนของเขาในเส้นสกัด 1.2 ในความเห็นของผู้ตัดสิน ถ้าลูกที่ถูกส่งออกไปแล้ว ฝ่ายรับหรือคู่ของฝ่ายรับยังไม่พร้อมที่จะรับ โดยมีข้อแม้ว่า ฝ่ายรับหรือคู่ของฝ่ายรับไม่พยายามจะตีลูก 1.3 ในความเห็นของผู้ตัดสิน หากมีเหตุรบกวนนอกเหนือการควบคุมของผู้เล่น จนทำให้การส่ง การรับ หรือการเล่นนั้นเสียไป 1.4 ถ้าการเล่นถูกยุติโดยผู้ตัดสินหรือผู้ช่วยผู้ตัดสิน 2. การเล่นอาจถูกยุติลงในกรณีต่อไปนี้ 2.1 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในลำดับการส่งลูก การรับลูก หรือการเปลี่ยนแดน 2.2 เมื่อการแข่งขันได้ถูกกำหนดให้ใช้ระบบการแข่งขันแบบเร่งเวลา 2.3 เพื่อเตือนหรือลงโทษผู้เล่น 2.4 ในความเห็นของผู้ตัดสิน หากเห็นว่าสภาพการเล่นถูกรบกวนอันจะเป็นผลต่อการเล่น ได้คะแนน 1. เว้นแต่การตีโต้ให้ส่งใหม่ ผู้เล่นจะต้องเสียคะแนนในกรณีดังนี้ 1.1 ถ้าผู้เล่นไม่สามารถส่งลูกได้ถูกต้อง 1.2 ถ้าผู้เล่นไม่สามารถรับลูกได้ถูกต้อง 1.3 ถ้าผู้เล่นขวางลูก 1.4 ถ้าผู้เล่นตีลูก 2 ครั้งติดต่อกัน 1.5 ถ้าลูกเทเบิลเทนนิสสัมผัสถูกแดนของเขาแล้วตกกระทบพื้นผิวโต๊ะอีก ยกเว้นการส่งลูก 1.6 ถ้าผู้เล่นตีลูกเทเบิลเทนนิสด้วยหน้าไม้ที่ไม่ถูกต้อง 1.7 ถ้าผู้เล่นหรือสิ่งใดก็ตามที่ผู้เล่นสวมใส่หรือถืออยู่ ทำให้พื้นผิวโต๊ะเคลื่อนที่ในขณะที่ลูกยังอยู่ในการเล่น 1.8 ถ้ามืออิสระของผู้เล่นสัมผัสพื้นผิวโต๊ะในขณะที่ลูกยังอยู่ในการเล่น 1.9 ถ้าผู้เล่นหรือสิ่งใดก็ตามที่ผู้เล่นสวมใส่หรือถืออยู่ ทำให้พื้นผิวโต๊ะเคลื่อนที่ในขณะที่ลูกยังอยู่ในการเล่น 1.10 ในประเภทคู่ ถ้าผู้เล่นตีลูกผิดลำดับ ยกเว้นในการส่งหรือรับลูก 1.11 เมื่อใช้ระบบการแข่งขันแบบเร่งเวลา เมื่อผู้ส่งได้ส่งลูกไปแล้ว ผู้รับหรือคู่ของผู้รับสามารถตีโต้กลับมาโดยถูกต้องครบ 13 ครั้ง 1.12 ถ้าผู้ตัดสินลงโทษตัดคะแนนของผู้เล่น เกมการแข่งขัน ผู้เล่นหรือคู่เล่นที่ทำคะแนนได้ 21 คะแนนก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ เว้นเสียแต่ถ้าผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้ 20 คะแนนเท่ากันจะต้องเล่นต่อไป โดยฝ่ายใดทำคะแนนได้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง 2 คะแนนก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ แมตช์การแข่งขัน 1. ในหนึ่งแมตช์ประกอบด้วยผู้ชนะ 2 ใน 3 เกม หรือ 3 ใน 5 เกม 2. การแข่งขันจะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นผู้เล่นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายขอสิทธิ์ในการหยุดพักระหว่างจบเกม ซึ่งการพักจะพักได้ไม่เกิน 2 นาที ลำดับการส่ง รับ และแดน 1. สิทธิ์ในการเลือกก่อน จะใช้วิธีเสี่ยงทายโดยผู้ชนะในการเสี่ยงจะเลือกส่ง เลือกรับ หรือเลือกแดนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสละสิทธิ์ให้ผู้แพ้ในการเสี่ยงเป็นฝ่ายเลือกก่อน 2. เมื่อผู้เล่นหรือคู่ของผู้เล่นได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ผู้เล่นหรือคู่เล่นอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเลือกบ้าง 3. เมื่อฝ่ายส่งได้ส่งลูกครบ 5 ครั้ง ฝ่ายรับจะกลายเป็นผู้ส่งบ้าง จากนั้นทั้งสองฝ่ายจะผลัดกันส่งลูกฝ่ายละ 5 ครั้ง จนกระทั่งจบเกมการแข่งขัน หรือทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้ 20 คะแนนเท่ากัน หรือเมื่อนำระบบการแข่งขันเร่งเวลามาใช้การส่งจะผลัดกันส่งฝ่ายละ 1 ครั้ง 4. ในประเภทคู่ ฝ่ายซึ่งมีสิทธิ์ในการส่งลูกก่อน จะต้องเลือกว่าใครจะเป็นผู้ส่งก่อนในเกมแรก และฝ่ายรับจะเป็นฝ่ายผู้รับ สำหรับในเกมถัดไปของแมตช์นั้นฝ่ายส่งจะเป็นผู้เลือกส่ง โดยฝ่ายรับจะเลือกผู้ที่จะเป็นผู้รับ สำหรับในเกมถัดไปของแมตช์นั้นฝ่ายส่งจะเป็นผู้เลือกส่ง โดยฝ่ายรับจะมีผู้รับก็คือผู้ที่ส่งให้เขาในเกมก่อนหน้านั้นเอง 5. ในประเภทคู่ ลำดับการเปลี่ยนส่งคือ เมื่อผู้ส่งได้ส่งลูกครบ 5 ครั้ง แล้ว ผู้รับจะกลายเป็นผู้ส่งบ้าง โดยส่งให้กับคู่ของผู้ที่ส่งลูกให้เขา 6. ผู้เล่นหรือคู่เล่นที่เป็นฝ่ายส่งลูกก่อนในเกมแรกจะเป็นฝ่ายรับลูกก่อนในเกมต่อไปสลับกันจนจบแมตช์ และในการแข่งขันเกมสุดท้าย ผู้เล่นจะต้องเปลี่ยนแดนทันทีเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำคะแนนได้ 10 คะแนน การผิดลำดับในการส่ง การรับ และแดน 1. ถ้าผู้เล่นส่งหรือรับลูกผิดลำดับ กรรมการผู้ตัดสินจะยุติการเล่นทันทีที่ได้ค้นพบข้อผิดพลาดและจะทำการเริ่มเล่นใหม่ โดยผู้เล่นและผู้รับที่ควรจะเป็นผู้ส่งและผู้รับตามลำดับที่ได้จัดไว้ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันของแมตช์นั้นต่อจากคะแนนที่ทำได้ สำหรับในประเภทคู่หากไม่สามารถทราบถึงผู้ส่งและผู้รับที่ถูกต้อง ลำดับในการส่งจะถูกจัดให้ถูกต้อง โดยคู่ที่มีสิทธิ์ส่งในครั้งแรกของเกมที่ค้นพบข้อผิดพลาดนั้น 2. ถ้าผู้เล่นไม่ได้เปลี่ยนแดนกันเมื่อถึงคราวต้องเปลี่ยนแดน กรรมการผู้ตัดสินจะยุติการเล่นทันทีที่ทราบ และจะเริ่มเล่นใหม่โดยเปลี่ยนแดนกันให้ถูกต้องตามลำดับที่จัดไว้ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันของแมตช์นั้นต่อจากคะแนนที่ทำได้ 3. กรณีใด ๆ ก็ตาม คะแนนทั้งหมดซึ่งทำไว้ได้ก่อนที่จะค้นพบข้อผิดพลาดให้ถือว่าใช้ได้ ระบบการแข่งขันเร่งเวลา 1. ระบบการแข่งขันเร่งเวลาจะถูกนำมาใช้ถ้าเกมการแข่งขันในเกมนั้นไม่เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 นาที ยกเว้นในกรณีที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายมีคะแนนไม่น้อยกว่า 19 คะแนน จะแข่งขันตามระบบเดิมหรือก่อนครบกำหนดเวลาก็ได้ ถ้าผู้เล่นหรือคู่เล่นทั้งสองฝ่ายต้องการ 1.1 ถ้าลูกอยู่ในระหว่างการเล่น และครบกำหนดเวลาแข่งขันพอดีการเล่นนั้นจะถูกยุติลงโดยกรรมการผู้ตัดสิน และจะเริ่มเล่นใหม่ด้วยการส่งลูกโดยผู้เล่นซึ่งเป็นผู้ส่งลูกอยู่ก่อนที่การตีโต้นั้นถูกยุติลง 1.2 ถ้าลูกไม่ได้อยู่ในระหว่างการเล่น และครบกำหนดเวลาแข่งขันพอดี การเล่นจะเริ่มเล่นใหม่ด้วยการส่งลูกโดยผู้เล่นที่เป็นฝ่ายรับลูกอยู่ก่อนที่เวลานั้นจะสิ้นสุดลง 2. หลังจากนั้นผู้เล่นแต่ละคนจะเปลี่ยนกันส่งลูกคนละครั้ง จนกระทั่งจบเกมการแข่งขัน และในการตีโต้ หากผู้รับหรือฝ่ายรับสามารถตีโต้กลับมาอย่างถูกต้องครบ 13 ครั้ง ฝ่ายส่งจะเสีย 1 คะแนน 3. เมื่อระเบียบการแข่งขันเร่งเวลานำมาใช้ในเกมใดแล้ว เกมที่เหลือของแมตช์นั้น ๆ ให้ใช้ปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งจบแมตช์นั้น เครื่องแต่งกาย 1. เสื้อผ้าที่ใช้แข่งขันปกติจะประกอบไปด้วยเสื้อแขนสั้น กางเกง ขาสั้นหรือกระโปรง ถุงเท้า และรองเท้าแข่งขัน ส่วนเสื้อผ้าชนิดอื่น ๆ เช่น บางส่วนหรือทั้งหมดของชุดวอร์ม จะไม่อนุญาตให้ใส่ในระหว่างการแข่งขัน ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ชี้ขาด สำหรับในการแข่งขันของสมาคมฯ ให้ผู้เข้าแข่งขันสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงหรือกระโปรงทุกครั้ง และเสื้อแข่งขันจะต้องเป็นเสื้อมีปกเท่านั้น 2. เสื้อแข่งขัน กางเกง หรือกระโปรง สีพื้นส่วนใหญ่จะเป็นสีอะไรก็ได้แต่จะต้องเป็นสีที่แตกต่างกับลูกเทเบิลเทนนิสที่ใช้แข่งขันอย่างชัดเจน ยกเว้นในส่วนของปก แขนเสื้อ ลายเสื้อ หรือใกล้กับขอบของเสื้อผ้าอาจเป็นสีเดียวกันหรือใกล้เคียงกับลูกเทเบิลเทนนิสที่ใช้แข่งขันได้ 3. บนเสื้อผ้าแข่งขันอาจมีเครื่องหมายใด ๆ ได้ดังนี้ 3.1 เครื่องหมายหรือตัวอักษรที่แสดงสังกัดสโมสรด้านหน้าของเสื้อแข่งขันบรรจุในพื้นที่ได้ไม่เกิน 64 ตารางเซนติเมตร 3.2 ด้านหลังของเสื้อแข่งขัน อาจมีหมายเลขหรือตัวอักษรแสดงสังกัด หรือแสดงถึงแมตช์การแข่งขัน 3.3 เสื้อผ้าอาจสามารถโฆษณาในขนาดที่กำหนดไว้ 3.4 เสื้อผ้าอาจมีสัญลักษณ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากสมาคมฯหรือสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ 4. หมายเลขประจำตัวของผู้เล่นที่ติดบนหลังเสื้อจะต้องอยู่เหนือโฆษณาและจะต้องอยู่ตรงกลางของด้านหลังของเสื้อ โดยมีขนาดใหญ่ได้ไม่เกิน 600 ตารางเซนติเมตร 5. การทำเครื่องหมายหรือการเดินเส้นใด ๆ บนด้านหน้าหรือด้านข้างของเสื้อผ้าหรือวัสดุใด ๆ เช่น เครื่องประดับที่สวมใส่จะต้องไม่จับตาหรือสะท้อนแสงไปยังสายตาของฝ่ายตรงข้าม 6. รูปแบบของเสื้อผ้าหรือตัวอักษร หรือการออกแบบใด ๆ จะต้องเป็นรูปแบบที่เรียบร้อยไม่ทำให้เกมนั้นเสื่อมเสีย 7. สำหรับปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับของชุดแข่งขันให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ชี้ขาด 8. ในการแข่งขันประเภททีมและในการแข่งขันประเภทคู่ นักกีฬาที่มาจากสังกัดเดียวกันจะต้องแต่งกายให้มีสีและรูปแบบที่เหมือนกันเท่าที่จะเป็นไปได้ยกเว้นถุงเท้าและรองเท้า 9. ในการแข่งขันระดับนานาชาติ นักกีฬาทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องแต่งกายด้วยสีที่แตกต่างกันเพื่อง่ายต่อการสังเกตของผู้ชม 10. หากผู้เล่นหรือทีมไม่สามารถตกลงกันได้ในกรณีชุดแข่งขันที่เหมือนกันจะใช้วิธีจับสลาก สภาพของสนามแข่งขัน 1. มาตรฐานของพื้นที่การแข่งขันจะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 14 เมตร กว้างไม่น้อยกว่า 7 เมตร และสูงไม่น้อยกว่า 4 เมตร สำหรับการแข่งขันระดับภายในประเทศ พื้นที่การแข่งขันจะอนุโลมให้มีความยาวได้ไม่น้อยกว่า 10.80 เมตร กว้างไม่นอ้ยกว่า 5.40 เมตร และสูงไม่น้อยกว่า 4 เมตร 2. พื้นที่การแข่งขันจะถูกล้อมไว้โดยรอบ ซึ่งที่ปิดล้อมหรือแผงกั้นจะมีขนาดสูงประมาณ 75 เซนติเมตร แยกพื้นที่การแข่งขันออกจากผู้ชม และสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติที่ปิดล้อม หรือแผงกั้นที่ปิดรอบสนามแข่งขันจะต้องเป็นสีเดียวกันกับฉากหลังซึ่งเป็นสีเข้ม 3. ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ความสว่างของแสงเมื่อวัดจากพื้นผิวโต๊ะแล้ว จะต้องมีความเข้มของแสงโดยสม่ำเสมอ และความสว่างในส่วนอื่น ๆ ของพื้นที่สนามแข่งขันจะต้องมีความเข้มของแสงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความเข้มของแสงบนพื้นผิวโต๊ะ 4. แหล่งกำเนิดแสงสว่างจะต้องอยู่สูงกว่าพื้นสนามแข่งขันไม่น้อยกว่า 4 เมตร 5. ฉากหลังโดยทั่วไป ๆ ไป จะต้องมืดและไม่มีแสงสว่างจากแหล่งกำเนิดไฟอื่น หรือแสงสว่างจากธรรมชาติผ่านเข้ามาตามช่องหรือทางหน้าต่าง 6. พื้นสนามแข่งขันจะต้องไม่เป็นสีสว่างหรือสะท้อนแสง ในการแข่งขันระดับนานาชาติ พื้นสนามแข่งขันห้ามเป็นอิฐ คอนกรีต หรือหิน

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง จากการศึกษาประวัติยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้นกีฬาชนิดนี้ขึ้นมา และไม่ทราบว่าต้นกำเนิดนั้นมาจากประเทศใด เพราะมี หลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา อินเดีย และแอฟริกาใต้ ก็อ้างว่ามาจากประเทศเหล่านี้ แต่ส่วนใหญ่ยอมรับว่า เริ่มขึ้นครั้งแรกใน ประเทศอังกฤษ เพราะมีหลักฐานว่าทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ในประเทศ อินเดียและแอฟริกาใต้ นำมาเล่นกัน และอีกหลักฐานหนึ่งคือ เคยเป็นกีฬาประจำราชสำนักอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 12 เนื่องจากเทเบิลเทนนิส เป็นกีฬาที่มี กฎเกณฑ์น้อย ใช้อุปกรณ์ที่หาง่าย ราคาถูก และเล่นง่ายจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากคนทุกระดับ ในประเทศอังกฤษสมัย พระเจ้ายอร์จที่ 6 ถึงกับทรงโปรดให้ตั้งโต๊ะเทเบิลเทนนิสขึ้นในพระราชวังบัคกิ้งแฮม และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทรงจัด กีฬาเทเบิลเทนนิสนี้ไว้ให้พระธิดา (เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ) ได้ทรงเล่นเป็นที่สนุกสนานในพระราชวังบัลมอรอล นอกจากนี้ พระเจ้าซาร์แห่งเปอร์เซียบัณฑิตเนรูห์แห่งอินเดียและกษัตริย์ฟาร์คแห่งอิยิปต์ในอดีตต่างก็ทรงส่งเสริมกีฬาเทเบิลเทนนิส กันทั้งสิ้น จากหนังสือประวัติกีฬาของ Frank Menke ได้ให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกำเนิดของเทเบิลเทนนิสไว้ 2 ประการ คือ 1. อาจเป็นกีฬาในร่มของเทนนิสซึ่งได้เริ่มเล่นเป็นครั้งแรกในมลรัฐแมสซาชูเซ็ต ประมาณปี ค.ศ. 1890 2. สันนิษฐานว่านายทหารชาวอังกฤษซึ่งไปประจำอยู่ที่ประเทศอินเดียได้เคยเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬากลางแจ้งมาก่อน และอีก ความเห็นหนึ่งคือ เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ และบ้างก็ว่าเกิดขึ้นในประเทศจีน ชาติที่นักตีเทเบิลเทนนิสต่างก็มุ่งหวัง ที่จะครอบครองกันในทุกวันนี้ ปัจจุบันอังกฤษไม่ได้รับตำแหน่งแชมป์เปี้ยนในกีฬาประเภทนี้ดังเช่นในอดีต ประเทศที่มีชื่อเสียงได้แก่ อเมริกา เช็คโกสโลวาเกีย ฮังการี (ได้เป็นแชมป์เปี้ยนกีฬาโลกหลายสมัย สามารถ คว้าตำแหน่งแชมป์เปี้ยนโลกไว้ได้ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2469-2496) ต่อมาเมื่อกีฬาเทเบิลเทนนิสได้แพร่หลาย เข้าสู่ทวีปเอเชีย นักกีฬาเทเบิลเทนนิสจากเอเชีย ก็ได้พัฒนาวิธีการเล่น เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้ครองแชมป์เปี้ยนโลก ในกีฬาประเภทนี้ ถึง 5 สมัย จากการแข่งขันแชมป์เปี้ยนโลกครั้งที่ 21-25 แต่ภายหลังจากนั้นเมื่อประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความสนใจและสนับสนุนกีฬาประเภทนี้อย่างจริงจัง จีนสามารถครองแชมป์เปี้ยนโลกได้ ในเวลาต่อมา เช่น ปี พ.ศ. 2524 สามารถคว้าแชมป์เปี้ยนโลกเทเบิลเทนนิสได้ถึง 7 ตำแหน่ง และในปี พ.ศ. 2526 ก็ได้รับตำแหน่งนี้อีกครั้งถึง 6 ตำแหน่ง สำหรับประเทศไทย คนไทยรู้จักคุ้นเคยและเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสมาเป็นเวลาช้านานแล้ว แต่รู้จักกันในชื่อกีฬาปิงปอง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มนำเข้ามาเล่นกันตั้งแต่เมื่อใด และใครเป็นผู้นำเข้ามา แต่ปรากฏว่ามีการเรียนการสอนมานานกว่า 30 ปี ในปี พ.ศ. 2500 ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งสมาคมเทเบิลเทนนิสสมัครเล่นแห่งประเทศไทยขึ้น โดยถูกต้องตามกฏหมายและมีการแข่งขันของสถาบันต่างๆ หรือการแข่งขันชิงแชมป์ถ้วยพระราชทาน แห่งประเทศไทย เป็นต้นมา

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติและประโยชน์เทเบิลเทนนิส

ประวัติและประโยชน์เทเบิลเทนนิส ประวัติเทเบิลเทนนิส เทเบิลเทนนิสหรือที่คนทั่ว ๆ ไปเรียกว่า “ ปิงปอง ” นั้นเองซึ่งมีรากฐานมาจากกีฬาเทนนิส แต่ไม่ มีหลักฐานแน่ชัดว่าประเทศใดในสี่ประเทศคือ อังกฤษ อเมริกา อินเดีย และ อัฟริกาใต้ เป็นประเทศต้นกำเนิดกีฬา เทเบิลเทนนิส จากหนังสือประวัติกีฬา Frank Menke ได้สันนิษฐานว่าเกี่ยวกับกำเนิดของเทเบิลเทนนิสไว้ 2 ประการ คือ 1. กีฬาในร่มของเทนนิส เริ่มเล่นครั้งแรกในรัฐแมสซาชูเซตส์ 2. สันนิษฐานว่านายทหารชาวอังกฤษซึ่งไปประจำอยู่ที่อินเดียได้เคยเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬา กลางแจ้งมาก่อน ดังนั้นพอสรุปได้ว่าชาวอังกฤษได้เล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬาในร่มแทนเทนนิสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 ปี ค.ศ. 1890 ในประเทศอังกฤษมีการโฆษณาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเล่นเทเบิลเทนนิสมาแล้วการเล่น ในสมัยนั้นใช้ไม้ธรรมดาตีกับลูกซึ่งทำด้วยไม้ก๊อกหรือยางแข็ง และมักจะหุ้มด้วยผ้าเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย แล้วใช้ไม้ กระดานเป็นเน็ต ปี ค.ศ. 1900 เจมส์ กิบบ์ ( Mr. James Gibb ) ชาวอเมริกันได้มีการพัฒนาการเล่นเทเบิลเทนนิส ได้นำลูกเทเบิลเทนนิสที่ทำจากเซลลูลอยด์มาใช้ในประเทศอังกฤษแทนลูกไมก๊อกหรือยางแข็ง จากการใช้ลูกเซลลู ลอยด์ ซึ่งภายในมีลักษณะกลวง เมื่อลูกเซลลูลอยด์มากระทบไม้ตีจะเกิดเสียง “ ปิง ” และเมื่อลูกเซลลูลอยด์ไป กระทบกับพื้นโต๊ะเกิดเสียง “ ปอง ” เพราะเหตุนี้เองจึงได้ตั้งชื่อกีฬาชนิดนี้ว่า “ ปิงปอง ” ปี ค.ศ. 1902 อี. ซี. กูด ( Mr. E.C. Good ) ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้เทเบิลเทนนิสที่หุ้มด้วย ยาง ซึ่งทำให้การตีมีประสิทธิภาพกว่าไม้ธรรมดา สามารถบังคับลูกได้ดีกว่า กีฬาประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมของบุคคล ทั่วไปในหลายประเทศเนื่องจากเล่นง่าย อุปกรณ์หาง่ายราคาถูก และเกิดความสนุกสนานน่าดู ประเทศที่ส่งเสริม กีฬานี้ได้พยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น อเมริกา ซึ่งเป็นผู้คิดค้นลูกเซลลูลอยด์ขึ้นมา ฮังการี คิดค้นการ เสิร์ฟลูกแบบกระดอน อังกฤษ ผู้ซึ่งคิดค้นไม้หุ้มยางออกมาใช้ เยอรมันนี เป็นที่ส่งเสริมการจัดการแข่งขัน และ ปรับปรุงกฎกติกาการเล่นต่างๆ ญี่ปุ่นและจีนได้พัฒนาการจับไม้แบบธรรมดา มาเป็นการจับไม้แบบจับปากกาหรือ ที่เรียกว่า “ไม้จีน ” ปี ค.ศ.1921 สมาคมปิงปองได้ตั้งขึ้นในอังกฤษ แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมเทเบิล เทนนิสแห่งประเทศอังกฤษ ต่อมาประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มมีการก่อตั้งสมาคมของประเทศตนขึ้นตามลำดับ และได้มี การจัดการแข่งขันเทเบลเทนนิส โดย ไอเวอร์ มอนทาเจอร์ ( Iver Monthagor ) บุตรชายของคุณหญิง สเวย์ธลิง ( Sweyling ) ขณะที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ได้เกิดความสนใจเทเบิลเทนนิส โดยมีเพื่อนๆ นิสิตสนใจเข้า ร่วมแข่งขันกัน ในไม่ช้าการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยครั้งแรก ระหว่างมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดและมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ก็เริ่มมีขึ้น และเป็นความคิดริเริ่มของ ไอเวอร์ มอนทาเจอร์ ( Iver Monthagor ) ในการนี้ได้ใช้ชื่อว่า "สเวย์ลิ่ง คัพ" โดยตั้งตามชื่อของมารดา ซึ่งได้กลายเป็นรางวัลนานาชาติที่นักปิงปองใฝ่ฝันที่สุด ปี ค.ศ.1926 ได้จัดตั้งสภากรรมการเทเบิลเทนนิสของโลกก่อตั้งขึ้น โดยมีสำนักงานตั้งอยู่ใน ประเทศอังกฤษ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น สหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ ( International Table Tennis Federation ) โดยมีอักษรย่อว่า I.T.T.F. ซึ่งก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ.1939 ประกอบด้วยชาติต่างๆ มากกว่า 30 ชาติ ประวัติกีฬาเทเบลิ เทนนิสในประเทศไทย สำหรับในประเทศไทย คนไทยรู้จักคุ้นเคยและเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสกันมานานแล้ว แต่โดยทั่วไป มักรู้จักกันในชื่อว่า “ ปิงปอง ” มากกว่าชื่อเทเบิลเทนนิส อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้นำเข้า มาและเริ่มเล่นกันครั้งแรกเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงมีการเล่นแข่งขันตลอดจนมีการเรียนการสอนเทเบิลเทนนิสกัน ในประเทศ ไทยมาไม่น้อยกว่า 30 ปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2500 ได้มีการจัดตั้ง สมาคมเทเบิลเทนนิสสมัครเล่นแห่งประเทศไทยขึ้น และได้จัดให้มีการแข่งขันเทเบิลเทนนิสกันอย่างกว้างขวางแพร่หลายมากขึ้นทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ แม้ว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสจะเป็นกีฬาเล็ก ๆ แต่บทบาทและความสำคัญของกีฬาเทเบิลเทนนิสมิได้ด้อยไปกว่ากีฬาใหญ่ ๆ เลย ดังจะเห็นได้ว่าในระยะปลายปี พ.ศ. 2515 ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬาเทเบิลเทนนิสไปทำการแข่งขัน เพื่อ สร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับนักกีฬาของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้นมา ทำให้ประเทศไทยและ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการติดต่อกันเช่นดังเดิมได้อีก นับว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสมีบทบาทสำคัญต่อ ประเทศไทยมาก ประโยชน์และคุณค่าของกีฬาเทเบิลเทนนิส การเล่นเทเบิลเทนนิสก่อให้เกิดประโยชน์และคุณค่าแก่ผู้เล่นมากมายหลายประการด้วยกันซึ่งพอจะ จำแนกประโยชน์และคุณค่าที่ได้รับจากการเล่นเทเบิลเทนนิสออกได้เป็น 4 ด้าน คือ 1. ประโยชน์และคุณค่าทางด้านร่างกาย ได้แก่ 1.1 ทำให้ร่างกายแข็งแรงพอเหมาะ เพราะเป็นกีฬาที่เล่นง่าย เล่นก็ไม่หนักและไม่เบา เกินไปมีการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมในการสร้างความแข็งแรงขั้นพื้นฐาน 1.2 ทำให้ร่างกายมีความว่องไว ปราดเปรียว เพราะเป็นกีฬาที่มีการเล่นที่รวดเร็วว่องไว 1.3 ช่วยฝึกหัดใช้สายตาให้ว่องไวมองเห็นการเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว 1.4 ช่วยฝึกหัดการใช้แขน ขา ลำตัว และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายให้สัมพันธ์กันได้ดียิ่งขึ้น 1.5 ทำให้ร่างกายมีรูปร่างได้สัดส่วนพอเหมาะ เพราะเป็นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทุกส่วน และไม่หักโหม 2. ประโยชน์และคุณค่าทางด้านจิตใจ และอารมณ์ ได้แก่ 2.1 ทำให้มีความสนุกสนานร่าเริง เพราะการเล่นเทเบิลเทนนิส เป็นการเล่นที่เร้าใจตลอด 2.2 ทำจิตใจแจ่มใส สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะเป็นกีฬาที่เคลื่อนไหวและกระตือรือร้น 2.3 ช่วยให้เกิดสมาธิในการปฏิบัติงาน เพราะการเล่นต้องมีความมั่นคงของอารมณ์ และ จิตใจไม่วอกแวก เช่น การเสิร์ฟลูก 2.4 ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อบุคคลอื่น มีจิตใจหนักแน่นและไม่เกิดอารมณ์เสียได้ง่าย 3. ประโยชน์และคุณค่าทางด้านสังคม ได้แก่ 3.1 ทำให้รู้จักเพื่อนมากขึ้น โดยใช้เทเบิลเทนนิสเป็นสื่อ 3.2 ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ 3.3 ทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างวัย เพราะเป็นกีฬาที่เล่นได้ทุกเพศและวัย 3.4 ช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเอง สถาบัน และสังคม 4. ประโยชน์และคุณค่าทางด้านสังคม ได้แก่ 4.1 ช่วยลดค่าใช้จ่าย เป็นการประหยัด เพราะเป็นกีฬาที่เล่นได้ง่าย อุปกรณ์การเล่นราคาถูก 4.2 สะดวกในการเล่น และจัดการแข่งขัน ทำให้ได้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสถานที่เล่น และการจัดแข่งขันมากมายเช่นกีฬาประเภทอื่น